ย้อนอดีต กรุงศรีอยุธยา หรืออาณาจักรอยุธยา ตอนที่๑
อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อนจิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟังอยุธยา แต่ก่อน นี้ยังเป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทยเดี๋ยวนี้ ซิเป็นเมืองเก่าชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกรานชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวรานข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวายเราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจอนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่นสมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคีคงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทยเนื้อเพลง อยุธยาเมืองเก่า มล ขาบ กุญชร ณ อยุธยา
มีการประเมินว่า ราว พ.ศ. ๒๑๔๓ กรุงศรีอยุธยามีประชากรประมาณ๓๐๐,๐๐๐ คน และอาจสูงถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ราว พ.ศ. ๒๒๔๓ บางครั้งมีผู้เรียกกรุงศรีอยุธยาว่า "เวนิสแห่งตะวันออก"
พระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ได้ทรงสถาปนาเมืองหลวงขึ้นในบริเวณที่หนองโสน กำเนิดขึ้นในวันที่๔ มีนาคม ๑๘๙๓ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน๕ ปีขาล เวลา ๐๙.๕๔ น. หรือเวลา ๓ นาฬิกา เก้าบาท ศักราช๗๑๒ ปีขาล หรือ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๔ ตามปฏิทินไทยสากลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
รัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยานั้นคาบเกี่บวกับรัชสมัยของ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) แห่งกรุงสุโขทัย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สุโขทัยมิอาจต้านทานความแข็งแกร่งของอยุธยาได้ แม้ว่าพระมหาธรรมราชาลิไท จะเสด็จไปประทับที่สองแคว (พิษณุโลก) เพื่อเตรียมรับศึกอยุธยาแล้วก็ตาม
แต่สุดท้ายพระมหาธรรมราชาลิไทก็ได้เจรจาประนีประนอมยอมให้กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีคู่กับสุโขทัย และทั้งสองนครนี้ก็เป็นไมตรีต่อกันมาจนตลอดรัชกาลของพระองค์
ดวงของกรุงศรีอยุธยามีลัคนาสถิตที่ราศีพฤษภ ๙องศา ๕๙ ลิปดา โดยมี
- ดาวจันทร์ (๒) สถิตที่ราศีพฤษภ ๑๘ องศา ๕๓ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นมหาอุจ กุมลัคนา จึงเป็นเมืองที่มีน้ำล้อมรอบ มีความงดงามมีเสน่ห์ ดังคำชมว่า เวนิสตะวันออก
- ดาวอาทิตย์ (๑) สถิตที่ราศีมีน ๗ องศา๕๓ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นอุจจาวิลาศ
- ดาวอังคาร (๓) สถิตที่ราศีมีน ๑๙ องศา ๔๗ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นจุลจักร การร่วมกันของดาวอาทิตย์และอังคาร ความหมายด้านร้ายคือการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ จึงทำให้เกิดการแย่งอำนาจหรือผลัดเปลี่ยนกันเป็นใหญ่ระหว่างกษัตริย์และเสนาบดีหรือราชวงศ์
- ดาวพุธ (๔) สถิตที่ราศีกุมภ์ ๒๗ องศา ๑๔ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นจุลจักร
- ดาวพฤหัสบดี (๕) สถิตที่ราศีกรกฎ ๒๘ องศา๔๑ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นมหาอุจ เป็นโยคหน้าแก่ลัคน์ เมืองอยุธยาจึงมีจิตใจใฝ่การกุศลมีความเชื่อในเรื่องศาสนานับถือพระสงฆ์และวัดวาอารามได้รับการอุปถัมภ์และก่อสร้างขึ้นมามากมายเสมือนแข่งกันทำบุญ
- ดาวศุกร์ (๖) สถิตที่ราศีกุมภ์ ๒๐ องศา ๒๕ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นอุจจาวิลาส เป็นดาวตนุลัคน์และบริวารทางทักษาด้วย
- ดาวเสาร์ (๗) สถิตที่ราศีเมษ ๖ องศา ๕๒ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นนิจ
- ดาวราหู (๘) สถิตที่ราศีพฤษภ ๒๙ องศา ๕๕ ลิปดา ได้เกณฑ์ดาวมาตรฐานเป็นนิจ เป็นศูนย์พาหะ ทางทักษาเป็นกาลกิณี แม้จะมีดาวจันทร์และพฤหัสขนาบหน้าหลัง
- ดาวเกตุ (๙) สถิตที่ราศีมีน ๒๗ องศา ๔๐ ลิปดา (ไม่มีในรูปจักรราศีนะคะ) เท่ากับว่าเกตุร่วมอาทิตย์และอังคาร
- ดาวมฤตยู-ยูเรนัส (๐) สถิตที่ราศีมีน ๒๗องศา ๒๙ลิปดา (ไม่มีในรูปจักรราศี) และมฤตยูร่วมอาทิตย์และอังคาร
เมืองอยุธยามีพระมหากษัตริย์ปกครองอาณาจักรมา ๓๓ พระองค์ รวม ๕ ราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง คือ
๑.ราชวงศ์ อู่ทอง ๓ พระองค์
๒.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ๑๓ พระองค์
๓.ราชวงศ์สุโขทัย ๗ พระองค์
๔.ราชวงศ์ ปราสาททอง ๔พระองค์
๕.ราชวงศ์ บ้านพลูหลวง ๖ พระองค์
เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๑๑๒ (เสาร์ แรม๑๑ ค่ำ เดือน๙ ไทย ศักราช ๙๑๘ ปีมะเส็ง) พระเจ้าบุเรงนองประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาจนกระทั่ง วันศุกร์ขึ้นหกค่ำ เดือนสิบสอง ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๑๒ได้อภิเษกให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ในฐานะประเทศราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญที่ ๑ บางแห่งเรียก พระสุธรรมราชา ขณะที่สมเด็จพระมหินทราธิราช พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางน้อยใหญ่ ได้ถูกนำไปกรุงหงสาวดีด้วยแต่สมเด็จพระมหินทร์ประชวรและสวรรคตระหว่างทางไปกรุงหงสาวดี
พม่าเข้ายึดทรัพย์สินและกวาดต้อนผู้คนกลับไปพม่าเป็นจำนวนมาก โดยเหลือให้รักษาเมืองเพียง ๑,๐๐๐ คน คนที่เหลือก็หนีไปหลบอาศัยอยู่ที่อื่น บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายได้รับความเสียหายเป็นอันมาก อาณาจักรอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรตองอูเป็นเวลานาน ๑๕ ปีภายหลัง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพให้กับอาณาจักรอยุธยาในอีก ๑๕ ปีต่อมา ในส่วนของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเขียนถึงแล้วในเรื่อง #เกร็ดดาวจันทร์ตอนที่๓ ดวงมาลัยโยค มีรูปจักรราศีคล้ายดวงกรุงศรีอยธยายกเว้นพระศุกร์อยู่ราศีมังกร
ดาวจรวันเสียกรุงครั้งที่๑ มีอังคารวินาสน์และปัตนิมาทับลัคนาและทับจันทร์ และพระศุกร์ ๖ ตัวอริและลัคนาไปทับดาวพฤหัสบดี ๕ ลาภะพร้อมกับดาวพุธและจันทร์ พลเมืองเดือดร้อนถูกกวาดต้อน และดาว๕เป็นมรณะเกษตร ดาวจันทร์๒ เป็นเกษตรจึงยังไม่ถูกเผาย่อบยับเหมือนเมื่อเสียกรุงครั้งหลัง
ต่อมาเมืองผ่านร้อนผ่านหนาวจนกระทั่ง
พระเจ้ามังระ โอรสของพระเจ้าอลองพญา ได้เป็นพระเจ้าอังวะและส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก ให้เกณฑ์กองทัพกว่า ๗๐,๐๐๐ นาย ยกเข้าตีเมืองสยาม ๒ ทาง ทางทิศใต้เข้าตีเข้าทางเมืองมะริด ส่วนทางตอนเหนือตีลงมาจากแคว้นล้านนา และบรรจบกันที่กรุงศรีอยุธยาเป็นศึกขนานกันสองข้างโดยได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานาน ๑ ปี ๒ เดือน ก็เข้าพระนครได้ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศหรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๖ และเป็นรัชกาลสุดท้ายแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๐๑ — ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ มีพระราชสมัญญานามที่สามัญชนเรียกกันอย่างลับว่า ขุนหลวงขี้เรื้อน เนื่องจากพระฉวี (ผิวหนัง) เป็นโรคผิวหนัง โรคเรื้อน หรือโรคกลากเกลื้อน
ในพงศาวดารฉบับหอแก้วและคองบองของพม่า ได้บรรยายให้เห็นว่าในสงครามครั้งนี้ ผู้ปกครองกรุงศรีอยุธยาเองก็ได้เตรียมการและกระทำการรบอย่างเข้มแข็ง มิได้เหลวไหลอ่อนแอ
ลำดับเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ หรือ วันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ จุลศักราช ๑๑๒๘ เป็นวันที่เกิด การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒
- เวลา ๑๕.๐๐ น. วันเนาว์สงกรานต์เวลาบ่ายคล้อย ทางข้าศึกจุดเพลิงเผาฟืนเชื้อใต้รากกำแพงตรงหัวรอ ริมป้อมมหาไชย และข้าศึกค่ายวัดการ้อง วัดแม่นางปลื้มและค่ายอื่นๆ ทุกค่าย จุดปืนป้อมและหอรบยิงระดมเข้ามาในกรุงพร้อมกัน ตั้งแต่บ่ายสามโมงจนพลบค่ำ
- เวลาทุ่มเศษ กำแพงเมืองที่จุดเชื้อฟืนเผารากนั้นทรุดลงหน่อยหนึ่ง
- เวลา ๒๐.๐๐ น. ทางข้าศึกให้จุดปืนสัญญาณขึ้น
- ข้าศึกได้ลงเรือเข้ามาถึงฝั่งกำแพงพระนครในตอนกลางคืน ใช้บันไดไต่กำแพงเมืองตรงที่กำแพงทรุด และโยนหม้อดินบรรจุดินปืนขับไล่ผู้รักษาการอยู่รอบกำแพงเมือง
- ทางข้าศึกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และจุดเพลิงขึ้นทุกตำบล เผาเหย้าเรือนและอาวาสพระราชวังทั้งปราสาทราชมณเฑียร แสงเพลิงสว่างประดุจกลางวัน แล้วเที่ยวไล่จับผู้คน ค้นริบเอาทรัพย์เงินทองสิ่งของทั้งปวงต่าง ๆ
- สรุปเสียกรุงศรีอยุธยาแก่ข้าศึก เวลาสองทุ่มของคืนวันอังคารที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐
- สรุปในแง่ของดวงเมืองนั้น ดาวจร มีทั้งอังคารปัตนิและเสาร์มาทับลัคน์ทับจันทร์ ดาวราหูเข้าเรือนของเสาร์เป็นตำแหน่งมหาจักร เล็งจันทร์จากเจ้าเรือนลัคน์ ดาวเกตุขนาบหน้าและมฤตยูนั้นมาขนาบหลังของลัคน์ ดาวศุกร์เจ้าเรือนลัคน์และอริมาอยู่ร่วมเสาร์เดิมพร้อมกับมฤตยู ส่วนดาวพฤหัสบดี มรณะยกมาเข้าราศีสิงห์อุจจาภิมุข
รออ่านตอน ๒ นะคะ จะมีเรื่องของ พระเจ้าตากสิน ซึ่งเริ่มแรกเป็นนายทหารในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์หรือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองตากเมื่อสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ทรงทราบว่าเจ้าเมืองตากคนก่อนป่วยเสียชีวิต จึงให้พระยาจักรีหาผู้มีสติปัญญาพอจะรับตำแหน่งแทน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้เป็นเจ้าเมืองตาก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๗
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น