ทอดผ้าป่า (เขียน ๒๒ สค ๖๕)
ผ้าป่าสามัคคี หมายถึง ผ้าป่าที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจพร้อมเพรียงกันทำครั้งนั้น ๆ ขึ้นมา ขยายจากการทอดผ้า เป็นเงินหรือสิ่งของที่บริจาคเพื่สาธารณประโยชน์โดยปรับเปลี่ยนให้เข้าตามยุคตามสมัยสังคม
การทอดผ้าป่าในเมืองไทยนั้น ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ด้วยทรงพระประสงค์จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีในทางพระศาสนาเพราะ ในอดีต คำว่า "ผ้าป่า" เรียกดังนี้เพราะถือคติโบราณ คือสมัยพุทธกาลผ้าหายาก ภิกษุต้องแสวงหาผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามป่าช้าบ้าง ตามทางเดินในป่าบ้างมาทำจีวรนุ่งห่ม คนใจบุญสมัยนั้นจึงนำผ้าไปแขวนไว้ตามต้นไม้ข้างทางที่พระเดินผ่าน ทำนองว่าทิ้งแล้วพระไปพบเข้าจึงหยิบไปทำจีวร เรียกว่า ชักผ้าป่า โดยถือว่าเป็นผ้าไม่มีเจ้าของ ผ้าชนิดนั้นเลยเรียกว่า "ผ้าป่าหรือผ้าบังสกุล"ไว้ดังที่กล่าวมาแล้ว
แต่ในปัจจุบันนิยมทำในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกันไป จึงมีชื่อเรียกเป็น ๓ อย่าง คือ
๑. ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน ผ้าป่าที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้น ต่อจากการทอดกฐิน
๒. ผ้าป่าโยงกฐิน ผ้าป่าที่จัดทำรวมๆ กันหลายกอง
๓. ผ้าป่าสามัคคี ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตาม สถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกัน ทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอด จะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัดอย่างสนุกสนาน บางที่จุดประสงค์ ก็เพื่อร่วมกันหาเงิน สร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ และอื่นๆ ฯลฯ
คำถวายผ้าป่า อุทิศถวายทั้งบาลี และคำแปล ดังนี้
อิมานิ มยัง ภันเต ปังสุกูลจีวรานิ สปริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชยามะ สาธุโน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ปังสุกูลจีวรานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆรัตตัง หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญ ฯ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น