วันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) ปีขาล
ศุกร์ร่วมราหูโคจรในราศีเมษ
ศุกร์ร่วมราศีอสุรา มิตรชอบอัธยาจะเป็นอริเร่งระวัง
ดุจกานกเค้าคู่ชัง บุพพเวรหนหลัง
ส่วนดาวอาทิตย์โคจรร่วมกับดาวพุธในราศีพฤษภ เจ้าภาพของเรือนคือดาวศุกร์
วิธีพิจารณา เรื่องพุธที่ร่วมอาทิตย์ นั้น ให้พิจารณาดูว่าพุธในชาตาก่อนหน้าที่จะเข้ามาร่วมองศากันนั้น
๑. หากพุธโคจรอยู่ข้างหน้าอาทิตย์ก่อน เมื่อมีวิถีโคจรมาร่วมอาทิตย์ ก็เรียกว่า"พักรองศา" พุธในลักษณะนี้ เมื่อมีระยะเชิงมุมเข้าประชิดกันแริ่มแต่ระยะห่างจากอาทิตย์ในระยะเชิงมุม ๕องศาแล้วพักเรื่อยเข้าไปจนประชิดองศาอาทิตย์ เป็นพุธที่ให้คุณกับชะตา ตำราว่าไว้ แนวโน้มจะให้คุณทำให้มีสติปัญญาดี,คล่องแคล่วว่องไว,สามารเรียนรู้อะไรได้เร็ว,จิตใจสดใสบริสุทธิ์
๒.หากพุธอยู่ข้างหลังอาทิตย์ แล้วโคจรเข้ามามีระยะเชิงมุมจะประชิดองศาอาทิตย์ เริ่มแต่มีระยะอีก ๕ องศาจะถึงองศาอาทิตย์และโคจรเรื่อยเข้าไปจนมีระยะเชิงมุมประชิดกับองศาอาทิตย์ เป็นพุธที่เข้าสู่จุดดับ พุธชนิดนี้เป็นชนิดที่ไม่ให้คุณกับชะตา ตำราว่าไว่ค่ะ แนวโน้มจะทำให้สติปัญญาทึบ หรือ เป็นพวกมะกรอกสามตะกร้าปาไม่เข้าหรือใช้ปัญญาเก่งในทางประพฤติชั่ว, ตลบแตลง,ประจบสอพลอ,ชอบกล่าวเท็จได้ค่ะ
ดังนั้น การวัดความมีไหวพริบ ความฉลาดเฉลียว ดูจากการมีระยะเชิงมุมห่างของพุธจากอาทิตย์ได้ค่ะ โดยหากมี ระยะเชิงมุม ห่างตั้งแต่๒๑-๒๘ องศา ผู้นั้นจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ส่วนระยะเชิงมุม ห่างตั้งแต่ ๑๑ -๒๐ องศา ผู้นั้นจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และลดหลั่นลงไปหากมีระยะห่าง ประมาณ๖-๑๐ องศา ก็จะมีสติปัญญาปานกลาง
อย่างที่บอกเมื่อเจ้าภาพเป็นดาวศุกร์ซึ่งเป็นประในเรือนอังคาร ดังนั้นอังคารเดิมจึงมีความสำคัญ หากนำไปทำนายดวงชะตาค่า
นำบางตอนจากพระมะเหลเถไถ
เมื่อนั้นพระมะเหลเถไถมะไหลถา
สถิตยังแท่นทองกะโปลา
ศุขาปาลากะเปเล
วันหนึ่งพระจึงมะหลึกตึก
มะเหลไถไพรพรึกมะรึกเข
แล้วจะไปเที่ยวชมมะลมเต
มะโลโตโปเปมะลูตู
ตริแล้วพระมะเหลจึงเป๋ปะ
มะเลไตไคลคละมะหรูจู๋
จรจรัลตันตัดพลัดพลู
ไปสู่ปราสาทท้าวโปลา
เนื้อเรื่องย่อกล่าวถึง พระมะเหลเถไถ โอรส ท้าวโปลากะปาหงัน และ นางตาลากะปาลัน แห่งเมืองกะโปลา เมื่อพระมเหลเถไถประพาสป่าพระอินทร์อุ้มสมจนได้นางตะแลงแกง พระธิดา ท้าวมะไล เป็นชายา ขณะที่เดินทางกลับ เกิดรบชิงนางกับเจ้ายักษ์มาลาก๋อย
พระมะเหลเถไถ เป็นกลอนบทละครที่ประพันธ์โดยคุณสุวรรณ ซึ่งเป็นธิดาพระยาอุไทยธรรม (กลาง) ราชินิกุลบางช้าง ที่ประพันธ์ขึ้นตามจินตนาการและแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่๔ มีความแปลกที่แต่งขึ้นเป็นภาษาบ้าง ไม่เป็นภาษาบ้างปะปนกันไปแต่ต้นจนปลาย แต่ใครอ่านก็เข้าใจความได้ตลอดเรื่อง ถูกกล่าวหาในสมัยนั้นว่าแต่งเมื่อ “เสียจริต” หรือ “มีสติฟุ้งซ่านผิดปกติ” เป็นเรื่องแปลกในวงการกวียุคนั้นมากค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น