ในแบบไทย หลักการพยากรณ์ นั้นนำหลักทางจันทรคติมาใช้ เป็นการนับโดยถือเอาการเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์เป็นหลัก ดังนี้ (หากจำได้ในบทความเดิม พูดถึงบางส่วนคือ #เรื่องของดิถี #เกร็ดดาวจันทร์ตอนที่๑ #เกร็ดดาวจันทร์ตอนที่๒)
คืนเดือนดับ จะสังเกตไม่เห็นดวงจันทร์
คืนข้างขึ้น จะสังเกตเห็นดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยว นิดเดียวแล้วค่อยๆ โตขึ้นในแต่ละวันจนเต็มดวง
คืนเดือนเพ็ญ จะสังเกตเห็นดวงจันทร์สว่างเต็มดวงมากที่สุดในรอบเดือนจันทรคติ
คืนข้างแรม จะสังเกตเห็นดวงจันทร์ค่อยๆ แหว่งเป็นรูปเสี้ยวเล็กลงๆ จนในที่สุดดวงจันทร์ก็มืดทั้งดวง
คืนข้างขึ้น จะสังเกตเห็นดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยว นิดเดียวแล้วค่อยๆ โตขึ้นในแต่ละวันจนเต็มดวง
คืนเดือนเพ็ญ จะสังเกตเห็นดวงจันทร์สว่างเต็มดวงมากที่สุดในรอบเดือนจันทรคติ
คืนข้างแรม จะสังเกตเห็นดวงจันทร์ค่อยๆ แหว่งเป็นรูปเสี้ยวเล็กลงๆ จนในที่สุดดวงจันทร์ก็มืดทั้งดวง
วันวารอาทิตย์อุทัย เปลี่ยนเมื่อหลัง ๐๖.๐๐ น.ไปแล้ว
จริงๆแล้ว เวลาที่อาทิตย์อุทัยหรือเริ่มส่องแสง นี้แต่ละวันแต่ละเดือนจะไม่เท่า
กันสามารถแตก ต่างกันได้ถึง ๓๐ นาทีตามแต่ฤดูกาล เช่น
ฤดูหนาว ราวเดือน พฤศจิกายน ถึง มกราคม ดวงอาทิตย์จะขึ้นที่ขอบฟ้า
ประมาณ ๐๖.๑๐-๐๖.๓๐ น.
ในฤดูร้อน ราวเดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม ดวงอาทิตย์จะขึ้นประมาณ
๐๕.๓๐-๐๖.๐๐ น.
ดังนั้นในางโหราศาสตร์ จึงต้องหาค่าเฉลี่ยของดวงอาทิตย์ขึ้น คือใช้ เวลา
๐๖.๐๐ น.เป็นหลัก เวลาอาทิตย์ขึ้นนำมาใช้หาจุดตั้งต้นที่ลัคนา (บทความเดิม
#ตำแหน่งลัคนาและการคำนวณ ) จะเริ่มเดินจากจุดนี้ผ่านไปตามราศีต่างๆ
จนกระทั่งถึงเวลาเกิด
จริงๆแล้ว เวลาที่อาทิตย์อุทัยหรือเริ่มส่องแสง นี้แต่ละวันแต่ละเดือนจะไม่เท่า
กันสามารถแตก ต่างกันได้ถึง ๓๐ นาทีตามแต่ฤดูกาล เช่น
ฤดูหนาว ราวเดือน พฤศจิกายน ถึง มกราคม ดวงอาทิตย์จะขึ้นที่ขอบฟ้า
ประมาณ ๐๖.๑๐-๐๖.๓๐ น.
ในฤดูร้อน ราวเดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม ดวงอาทิตย์จะขึ้นประมาณ
๐๕.๓๐-๐๖.๐๐ น.
ดังนั้นในางโหราศาสตร์ จึงต้องหาค่าเฉลี่ยของดวงอาทิตย์ขึ้น คือใช้ เวลา
๐๖.๐๐ น.เป็นหลัก เวลาอาทิตย์ขึ้นนำมาใช้หาจุดตั้งต้นที่ลัคนา (บทความเดิม
#ตำแหน่งลัคนาและการคำนวณ ) จะเริ่มเดินจากจุดนี้ผ่านไปตามราศีต่างๆ
จนกระทั่งถึงเวลาเกิด
วัน ตามแบบจันทรคติจะอ่านเป็นตัวเลขโดยเริ่มที่วันอาทิตย์เป็นหนึ่ง และนับต่อไป
ตามลำดับจนถึงวันเสาร์นับเป็นเจ็ด
และมีการกำหนดดิถีดวงจันทร์และตัวเลขเดือนกำกับอย่างย่อ โดยใช้
สัญลักษณ์เป็นตัวเลข ดังตัวอย่าง ๖ ๓ฯ ๓ อ่านว่า วันศุกร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓
เครื่องหมาย "ฯ " หรือ" ไปยาลน้อย "แทนข้างขึ้นหรือข้างแรม
ตามลำดับจนถึงวันเสาร์นับเป็นเจ็ด
และมีการกำหนดดิถีดวงจันทร์และตัวเลขเดือนกำกับอย่างย่อ โดยใช้
สัญลักษณ์เป็นตัวเลข ดังตัวอย่าง ๖ ๓ฯ ๓ อ่านว่า วันศุกร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓
เครื่องหมาย "ฯ " หรือ" ไปยาลน้อย "แทนข้างขึ้นหรือข้างแรม
เดือน เปลี่ยนในวันขึ้น ๑ ค่ำ ของทุกเดือน
การนับเดือนทางจันทรคติ (ปฎิทินราชการ) เริ่มต้นนับโดยประมาณจากการ
มองเห็น การ เคลื่อนที่ (ขึ้น-ลง)ของดวงจันทร์
โดยเดือนคู่จะมี ๓๐ วัน คือวันขึ้น๑ ค่ำ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึง
วันแรม ๑๕ ค่ำ
ส่วนเดือนคี่มี ๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึง
วันแรม ๑๔ ค่ำ นอกจากนี้ยังมีบางปีที่มีวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ เรียกว่า
อธิกวาร (ความหมายของอธิกวาร คือเพิ่มวันเข้าไป ในเดือน ๗ ทำให้เดือน ๗
ในปีนั้นมี ๓๐ วัน วันสุดท้ายของเดือน ๗ จะเป็นวันแรม ๑๕ ค่ำ แทนที่จะเป็น
วันแรม ๑๔ ค่ำ )วันที่เพิ่มเข้าไป โดยจะมีในปีที่ ๖, ๑๒, ๑๗, ๒๒, ๒๘, ๓๓
และ ๓๘ ทั้งนี้ เพื่อให้ เดือนแต่ละเดือนมีค่าเฉลี่ยของวันในเดือนเข้าใกล้
๒๙.๕๓๐๕๘๘ วันมาก ที่สุด
การนับเดือนทางจันทรคติ (ปฎิทินราชการ) เริ่มต้นนับโดยประมาณจากการ
มองเห็น การ เคลื่อนที่ (ขึ้น-ลง)ของดวงจันทร์
โดยเดือนคู่จะมี ๓๐ วัน คือวันขึ้น๑ ค่ำ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึง
วันแรม ๑๕ ค่ำ
ส่วนเดือนคี่มี ๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึง
วันแรม ๑๔ ค่ำ นอกจากนี้ยังมีบางปีที่มีวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ เรียกว่า
อธิกวาร (ความหมายของอธิกวาร คือเพิ่มวันเข้าไป ในเดือน ๗ ทำให้เดือน ๗
ในปีนั้นมี ๓๐ วัน วันสุดท้ายของเดือน ๗ จะเป็นวันแรม ๑๕ ค่ำ แทนที่จะเป็น
วันแรม ๑๔ ค่ำ )วันที่เพิ่มเข้าไป โดยจะมีในปีที่ ๖, ๑๒, ๑๗, ๒๒, ๒๘, ๓๓
และ ๓๘ ทั้งนี้ เพื่อให้ เดือนแต่ละเดือนมีค่าเฉลี่ยของวันในเดือนเข้าใกล้
๒๙.๕๓๐๕๘๘ วันมาก ที่สุด
๑.เดือนธันวาคมเป็นเดือน ๑ เรียกว่าเดือน อ้าย
๒.เดือนมกราคมเป็นเดือนที่ ๒ เรียกว่า เดือนยี่
๓.เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือน ๓ เรียกว่า เดือนสาม
๔.เดือนมีนาคมเป็น เดือน ๔ เรียกว่า เดือนสี่
๕.เดือนเมษายนเป็นเดือน ๕ เรียกว่าเดือนห้า
๖.เดือนพฤษภาคมเป็นเดือน ๖ เรียกว่าเดือนหก
๗.เดือนมิถุนายน เป็นเดือน ๗ เรียกว่าเดือนเจ็ด
๘.เดือนกรกฎาคมเป็นเดือน ๘ เรียกว่าเดือนแปด
๙.เดือนสิงหาคมเป็นเดือน ๙ เรียกว่าเดือนเก้า
๑๐.เดือนกันยายนเป็นเป็นเดือน ๑๐ เรียกว่าเดือนสิบ
๑๑.เดือนตุลาคมเป็นเดือน๑๑ เรียกว่าเดือนสิบเอ็ด
และ ๑๒. เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือน๑๒ เรียกว่าเดือนสิบสอง
๒.เดือนมกราคมเป็นเดือนที่ ๒ เรียกว่า เดือนยี่
๓.เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือน ๓ เรียกว่า เดือนสาม
๔.เดือนมีนาคมเป็น เดือน ๔ เรียกว่า เดือนสี่
๕.เดือนเมษายนเป็นเดือน ๕ เรียกว่าเดือนห้า
๖.เดือนพฤษภาคมเป็นเดือน ๖ เรียกว่าเดือนหก
๗.เดือนมิถุนายน เป็นเดือน ๗ เรียกว่าเดือนเจ็ด
๘.เดือนกรกฎาคมเป็นเดือน ๘ เรียกว่าเดือนแปด
๙.เดือนสิงหาคมเป็นเดือน ๙ เรียกว่าเดือนเก้า
๑๐.เดือนกันยายนเป็นเป็นเดือน ๑๐ เรียกว่าเดือนสิบ
๑๑.เดือนตุลาคมเป็นเดือน๑๑ เรียกว่าเดือนสิบเอ็ด
และ ๑๒. เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือน๑๒ เรียกว่าเดือนสิบสอง
ปี เป็นปี๑๒ นักษัตร คือ
ปีชวด,ฉลู,ขาล,เถาะ,มะโรง,มะเส็ง,มะเมีย,มะแม,วอก,ระกา,จอ,กุน
และเปลี่ยนในวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ (เมษายน)
ปีทาง จันทรคติ แบ่งเป็น ๓ แบบ คือ
๑. ปกติมาส-ปกติวาร
คือ ปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน และมีเดือนคี่
ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๔ วัน รวมวันใน ๑ ปี เท่ากับ ๓๕๔ วัน
จะเห็นว่า ปีทางจันทรคติ จึงน้อยกว่าปีสากลเพราะ ๓๖๕ -๓๕๔ คือ ๑๑ วัน
เมื่อครบ ๓ ปีเลยทำให้มีวันขาดอยู่ ๓๓ วัน จึงมีการเติมวันโดยเพิ่มอธิกมาส
และ อธิกวาร ในบางปี
๒. ปกติมาส-อธิกวาร คือ ปีที่เป็นปกติ แต่เดือน ๗ จะมีข้างแรม ๑๕ วัน
รวมวันใน๑ ปี เท่ากับ ๓๕๕ วัน
๓. อธิกมาส-ปกติวาร คือ ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน หรือที่เรียกกันว่า มีเดือน
แปดสองหน รวมวันใน ๑ ปี เท่ากับ ๓๘๔ วัน
แต่จะไม่มีปีใดที่เป็น "อธิกมาส-อธิกวาร" หรือ ไม่มีปีไหนที่เป็นทั้งเดือนแปด
สองหนและ เดือน ๗ เพิ่มอีกวันไปพร้อมๆกัน
ปีชวด,ฉลู,ขาล,เถาะ,มะโรง,มะเส็ง,มะเมีย,มะแม,วอก,ระกา,จอ,กุน
และเปลี่ยนในวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ (เมษายน)
ปีทาง จันทรคติ แบ่งเป็น ๓ แบบ คือ
๑. ปกติมาส-ปกติวาร
คือ ปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน และมีเดือนคี่
ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๔ วัน รวมวันใน ๑ ปี เท่ากับ ๓๕๔ วัน
จะเห็นว่า ปีทางจันทรคติ จึงน้อยกว่าปีสากลเพราะ ๓๖๕ -๓๕๔ คือ ๑๑ วัน
เมื่อครบ ๓ ปีเลยทำให้มีวันขาดอยู่ ๓๓ วัน จึงมีการเติมวันโดยเพิ่มอธิกมาส
และ อธิกวาร ในบางปี
๒. ปกติมาส-อธิกวาร คือ ปีที่เป็นปกติ แต่เดือน ๗ จะมีข้างแรม ๑๕ วัน
รวมวันใน๑ ปี เท่ากับ ๓๕๕ วัน
๓. อธิกมาส-ปกติวาร คือ ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน หรือที่เรียกกันว่า มีเดือน
แปดสองหน รวมวันใน ๑ ปี เท่ากับ ๓๘๔ วัน
แต่จะไม่มีปีใดที่เป็น "อธิกมาส-อธิกวาร" หรือ ไม่มีปีไหนที่เป็นทั้งเดือนแปด
สองหนและ เดือน ๗ เพิ่มอีกวันไปพร้อมๆกัน
ตัวอย่างเช่น เกิด วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๐๒ เวลา ๐๐.๔๓ น. นั้น ทางจันทรคติ คือ เกิดเป็น วันที่ ๑๐ มีนาคม เพราะเวลายังไม่ถึง ๐๖.๐๐ น.และเมื่อไปเปิดปฎิทินโหร หรือปฎิทินระบบ สุริยยาตร์เพื่อหา ตำแหน่งของดาวอาทิตย์ และ องศาอาทิตย์ (ดาวอาทิตย์ ๑ อยู่ราศีใด และมีองศาเท่าใด) จะ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ เพราะวันเกิดยังไม่ขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕
ตามภาพค่ะ วันนี้ คือ ๒ ฯ๑๔ ๗ ค่ำคือ จันทร์ ๑ กรกฎาคม คือ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนเจ็ด(๗) ปีกุน
ขอบคุณวิชาโหราศาสตร์และ ข้อมูลความรู้จากตำราของอาจารย์ศ.ดุสิต และรวมทั้งอาจารย์ท่านอื่นและบรมครูโหราศาสตร์ชั้นนำ และวิกีพิเดีย และขอขอบคุณที่ติดตามอ่านบทความค่ะ Zodietcwise
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น